ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย กล่าวว่า การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP29) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้ปิดลงเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยได้มีข้อตัดสินใจด้านการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Countries) จะเป็นผู้นำในการสนับสนุนเงินเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา (Developing Countries) ที่ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี ค.ศ.2035 (พ.ศ.2578) ซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับประเทศไทยที่ต้องสร้างความพร้อมและวางกลยุทธ์ในการแข่งขันให้สามารถเข้าถึงเงินสนับสนุนดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอต่อการดำเนินงานของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการขอสนับสนุนเงินให้เปล่า รวมถึงเงินกู้แบบเงื่อนไขผ่อนปรนสูง เพื่อการบรรลุเป้าหมายด้านการลดก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงเป้าหมาย NDC 3.0 ในปี ค.ศ. 2035
สำหรับข้อตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านคาร์บอนเครดิตภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีส มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นทั้งในส่วนข้อมูลที่ประเทศต้องรายงาน ระบบทะเบียน การให้อนุญาตและการเปลี่ยนแปลงการให้อนุญาต และการรับรองแนวทางการพัฒนาระเบียบวิธีของ Article 6.4 ซึ่งจะทำให้ประเทศปรับปรุงและกำหนดแนวทางในประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้ง นานาชาติได้มีข้อตัดสินใจที่จะกำหนดตัวชี้วัดด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลกให้แล้วเสร็จ เพื่อนำไปรับรองในการประชุม COP 30 ครั้งหน้า ณ ประเทศบราซิล ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานในระดับโลกเป็นรูปธรรมและเป็นเอกภาพ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จาก COP29 อาจยังไม่สมบูรณ์แบบสำหรับการแก้ไขปัญหาภาวะโลกเดือด แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันในการรักษาเป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและลดความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี
นอกจากนี้ ตลอดห้วงการประชุม COP 29 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคีเครือข่าย ได้จัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมคู่ขนาน ณ Thailand Pavilion ซึ่งได้ปิดเวทีเสวนา เป็นวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 โดยมีนักวิชาการ ภาครัฐ องค์กรเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และเยาวชน มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ ด้วยประเด็นการเสวนา กว่า 30 หัวข้อ อาทิ เยาวชนกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจสีเขียว นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการลดและกักเก็บคาร์บอน การเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านพลังงาน รวมถึงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสาขาต่างๆ โดยมีผู้สนใจจากนานาประเทศ เข้าร่วมชมนิทรรศการและร่วมกิจกรรม รวมกว่า 7,000 คน