กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ลดลงเหลือ ร้อยละ 14 จับมือ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย เร่งขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อให้เด็กไทยได้กินนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต และกินนมแม่ต่อเนื่องร่วมกับอาหารตามวัย ถึง 2 ปี
วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2566) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในการเป็นประธานงานแถลงข่าวการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลง ระหว่างกรมอนามัย และมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นับเป็นรากฐานที่ สำคัญของสุขภาพทารกที่ดี นมแม่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เป็นวัคซีนหยดแรกในการสร้างภูมิคุ้มกันของทารก เป็นส่วนสำคัญ ในการพัฒนาระดับสติปัญญาส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่จากข้อมูลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยปี 2562 โดย สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ พบว่า มีเด็กไทยเพียง ร้อยละ 34 ที่ได้กินนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และมีเพียงร้อยละ 14 ที่ได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้รับน้ำหรืออาหารอย่างอื่นผสม ในช่วง 6 เดือนแรก
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายในการส่งเสริมให้เด็กไทยทุกคนได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก คือ “กินนมแม่ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด” “กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต” และ “กินนมแม่ต่อเนื่องควบคู่อาหารตามวัย จนถึงอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น” โดยมีเป้าหมายในปี 2568 ให้เด็กไทยร้อยละ 50 จะได้กินนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือน รวมทั้งกรมอนามัย และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพลังที่สำคัญจากมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย จึงเร่งดำเนินการส่งเสริม
ให้เด็กไทยได้กินนมแม่ ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อปกป้อง ส่งเสริม และสนับสนุนให้เด็กไทยทุกคนได้กินนมแม่เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้แก่เด็กไทย “สำหรับการลงนามความร่วมมือระหว่างกรมอนามัย และ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ในวันนี้ นอกจากจะสนับสนุนนโยบายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในประเทศไทย ยังเป็นการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายที่องค์กรอนามัยโลกกำหนด รวมทั้ง ให้คุณแม่ทุกคนสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จและรวมพลังผลักดันให้ครอบครัว สังคมไทยเข้าสู่วิถีสังคมนมแม่ ให้เด็กไทยทุกคนได้มีโอกาสเติบโต
อย่างมีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป” อธิบดีกรมอนามัยกล่าว
ทางด้าน แพทย์หญิงศิริพร กัญชนะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย เป็นองค์กรที่เกิดจากการรวมตัวของแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องและกลุ่มคุณแม่อาสา ที่เห็นประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งจากสถานการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ที่ได้รับความสนใจจากแม่และสังคมลดลง จึงได้จับมือกับกรมอนามัยร่างยุทธศาสตร์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ขึ้นเพื่อให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็น “วิถีของแม่และสังคมไทย” ประกอบด้วย 4 ประเด็นยุทธศาสตร์ คือ
1) การขับเคลื่อนนโยบายและกฎหมาย (Policy & Law Oriented) 2) การปลูกฝังและสร้างค่านิยม (Value and Culture Oriented) 3) การพัฒนาคุณภาพระบบบริการ (Quality of Service Oriented) และ 4) การจัดการความรู้และนวัตกรรม (Knowledge and Innovation Oriented) รวมทั้งลงนามความร่วมมือการขับเคลื่อนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มาอย่างต่อเนื่อง “นอกจากนี้ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ยังได้ร่วมกับกรมอนามัยจัดการประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติครั้งที่ 8 เรื่อง เสริมพลัง สร้างความรู้ สู่วิถีนมแม่ อย่างยั่งยืน Step up Breastfeeding: Educate, Support and Sustain โดยมีราชวิทยาลัยกุมารเวชศาสตร์ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ สภาการพยาบาล สมาคมโภชนาการเด็ก กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมด้วย เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และฟื้นฟูวิชาการการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ทันสมัย ในวันที่ 21-23 มีนาคม 2566 ซึ่งสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานทาง www.thaibfconference.net ตั้งแต่วันนี้ถึง 6 มีนาคม 2566 นี้” แพทย์หญิงศิริพร กล่าว