กรมหม่อนไหม หนุน “กลุ่มต้นหม่อนซิลล์” บ้านหัวตะพาน พุทไธสง สร้าง “บุรีรัมย์โมเดล“ยกระดับคุณค่าผ้าไหมไทย ก้าวไกลสู่เวทีระดับประเทศ พร้อมดึงเทคโนโลยี นวัตกรรม ปรับวิถีการเลี้ยงดั้งเดิม ทำให้สามารถสร้างผลผลิตสร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน

นายนวนิตย์ พลเคน อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า ในพื้นที่บ้านหัวสะพาน อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ “กลุ่มต้นหม่อนซิลล์” เป็นพื้นที่ที่มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมาตั้งแต่ดั้งเดิมมาหลายชั่วอายุคนและถือว่าการเลี้ยงไหมอยู่ในสายเลือดตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายมาได้ประมาณ 200 กว่าปี ที่มีอาชีพเลี้ยงไหมอยู่ในชุมชน ขณะเดียวกันในพื้นที่ยังมีการรวมกลุ่มผู้เลี้ยงไหมค่อนข้างเข้มแข็งในนามกลุ่ม  “กลุ่มต้นหม่อนซิลล์” ล่าสุดกรมหม่อนไหม ได้มีการสนับสนุนและส่งเสริมการเลี้ยงไหม ในพื้นที่นี้ ให้เป็น แหล่งปลูกหม่อนเลี้ยงไหมพื้นบ้านวิถีดั้งเดิม เพื่อผลิตผ้าไหมคุณภาพ และสร้างให้เป็นพื้นที่แหล่งผลิตไหมพื้นบ้านต้นแบบ ของ “บุรีรัมย์โมเดล

ทั้งนี้ในการส่งเสริมกลุ่มผู้เลี้ยงไหมและนำไปสู่ “บุรีรัมย์โมเดล”จากผืนผ้าไหมในครั้งนี้เนื่องจากกรมหม่อนไหมเห็นว่าผ้าไหมที่มีการผลิตในพื้นที่ ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงภูมิปัญญาในครัวเรือนน่าจะถึงวันแปรเปลี่ยนเป็นพลังชุมชนที่เข้มแข็งสร้างรายได้ สร้างโอกาส และยกระดับคุณค่าไหมไทย ก้าวไกลสู่เวทีระดับประเทศเพราะการทอผ้าไหมหนึ่งผืนต้องอาศัยเวลาและความประณีตในการทออย่างต่อเนื่องหลายวัน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคุณค่าที่ไม่อาจประเมินได้ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความภาคภูมิใจของชุมชน ดังนั้นจึงควรมีการส่งเสริมอย่างจริงจังในพื้นที่ดังกล่าว แต่มาถึง ณ วันนี้ กลุ่มมีการพัฒนามากขึ้น มีการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม มาใช้ในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทำให้เกษตรกรที่เคยเลี้ยงแบบเดิมก็พัฒนามาเลี้ยงแบบที่ใช้เทคโนโลยีใช้นวัตกรรม ทำให้เขามีผลผลิตมากขึ้นเลี้ยงได้หลายรุ่นมากขึ้นต่อปีนั่นก็คือส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่เป็นแหล่งเรียนรู้ให้เกษตรกรที่เป็นต้นแบบต่อเกษตรกรที่จะเลี้ยงไหมใหม่ หรือพี่น้องเกษตรกรที่เลี้ยงไหมมาดั้งเดิมแต่ยังไม่มีการพัฒนาที่สามารถเรียนรู้จากพื้นที่ต้นแบบได้ทันที เพราะหัวใจของ บุรีรัมย์โมเดล คือพลังแห่งการรวมใจของชาวบ้าน ที่ช่วยกันทำงานทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสาวไหม ทอผ้า ไปจนถึงการย้อมสีทุกกระบวนการร้อยเรียงเชื่อมโยงกัน ดุจเส้นด้ายที่ถักทอเป็นผืนผ้าเดียวกันและเส้นทางของไหมไทยไม่ได้หยุดอยู่แค่ตลาดท้องถิ่น กรมหม่อนไหมได้เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน เริ่มจากการส่งเสริมการปลูกหม่อนพันธุ์ดี เพื่อเลี้ยงไหมพันธุ์คุณภาพ สร้างผลผลิตเส้นไหมที่นุ่มเงางาม และเหมาะแก่การทอผ้าที่สะท้อนลวดลายอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นเพื่อก้าวไกลสู่เวทีที่ใหญ่กว่า ซึ่งเมื่อปริมาณและคุณภาพเดินไปพร้อมกัน ตลาดก็เปิดกว้าง ผ้าไหมบุรีรัมย์ไม่เพียงป้อนตลาดในประเทศ จึงควรพัฒนาไปสู่เวทีแฟชั่นระดับนานาชาติและจะสะท้อนภาพชัดเจนของการรวมกลุ่มคิดพลังที่เปลี่ยนผืนผ้า ให้เป็นเศรษฐกิจฐานรากที่มั่นคงได้ในอนาคต

นายนวนิตบอกด้วยว่าในการส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมครั้งนี้ กรมหม่อนไหม ได้ตระหนักในเรื่อง BCG  จึงนำมาใช้โดยคำนึงถึงภาวะโลกร้อน ด้วยการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในพื้นที่ ตั้งแต่การปลูกหม่อนโดยมีการนำเรื่องมูลไหม มาเป็นปุ๋ย นำฟางข้าวจากการทำนา มาคลุมดินในแปลงหม่อนเพื่อลดการระเหยของน้ำในดิน และยังแก้ปัญหาวัชพืชในแปลงหม่อนถือเป็นการเอาของเสียมาใช้ให้เกิดประโยชน์ใหม่ การพัฒนาพันธุ์ไหมที่ดี พันธุ์ต้นหม่อนที่ดี รวมทั้งนวัตรกรรมเครื่องสาวที่ทันสมัยมากขึ้นลดขั้นตอน ซึ่งจะทำให้ลดต้นทุนที่จะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรมากขึ้นและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงจูงให้ เกษตรกรหันมายึดอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในอนาคตด้วย ทั้งหมดคือการนำหลัก BCG มาประยุกต์ใช้

ด้านนายศุภวิชญ์ สนไธสง ประธานกลุ่มหม่อนซิลล์ (Tonmon Silk) กล่าวว่า ไหมเข้ามาเกี่ยวข้องกับคนหัวสะพาน อ.พุทไธสง ซึ่งเข้ามาอยู่ในสายเลือดก็ว่าได้เพราะว่าในชุมชนแห่งนี้เลี้ยงไหมตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายมา  ตามที่สืบหาค้นประวัติได้ประมาณสองร้อยกว่าปีแล้วครับที่มีอาชีพเลี้ยงไหมอยู่ในชุมชน ซึ่งในส่วนของ “กลุ่มต้นหม่อนซิลล์”  เรามีการส่งเสริมและเรียนรู้การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมาอย่างต่อเนื่องและเชื่อว่าไหมยังคงเป็นทั้งอาชีพที่มั่นคงและเป็นความภาคภูมิใจของคนรุ่นใหม่ ในอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ เมืองที่เส้นไหมไม่ได้เพียงถักทอเป็นผืนผ้า แต่ยังถักทอเป็นรากวัฒนธรรมที่เชื่อมอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไว้ด้วยกันอย่างสวยงาม  จากการสนับสนุนของกรมหม่อนไหมปัจจุบันสมาชิกมีรายได้จากการเลี้ยงไหมเฉลี่ยราว 40,000 บาทต่อเดือน ทำให้คนรุ่นใหม่เริ่มกลับมาสนใจ ลูกค้าหลายรายถึงกับต้องจองเส้นไหมล่วงหน้าเป็นปี เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของเรา อาชีพนี้ไม่ใช่เพียงภูมิปัญญาที่สืบทอด แต่คือ โอกาสทางเศรษฐกิจที่มั่นคง และสามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ภายใต้เจตนารมณ์ของกลุ่มที่ว่า “สืบสานไหมไทยไว้ ให้คงอยู่คู่แผ่นดิน”

ขณะที่นางนุรี อาญาเมือง นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมหม่อนไหม กล่าวว่า “ปัจจุบันในพื้นที่อำเภอพุทไธสง ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ บุรีรัมย์ ได้ส่งเสริมให้ปลูกหม่อนคุณภาพดี คือพันธุ์ บุรีรัมย์ 60 เพื่อใช้เลี้ยงไหมพันธุ์ น่าน 72 ซึ่งมีศักยภาพการผลิตที่โดดเด่น จากการทดสอบการเลี้ยงในพื้นที่ พบว่าสามารถผลิตรังไหมคุณภาพสูง โดยมีเปอร์เซ็นต์เปลือกรังอยู่ที่ 22% ในช่วงฤดูหนาว และสามารถสาวเส้นไหมได้สูงสุดถึง 6 กิโลกรัมต่อแผ่น

ขณะเดียวกัน การส่งเสริมการเลี้ยงไหมหัตถกรรมโดยใช้ใบหม่อนพันธุ์บุรีรัมย์ 60 เลี้ยงไหมลูกผสมพันธุ์ใหม่ น่าน 72 ยังช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้แก่เกษตรกรในบ้านหัวสะพาน อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งนี้ ศูนย์หม่อนไหมฯ บุรีรัมย์ ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมีเกษตรกรรุ่นใหม่ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้ใหญ่ หันมาสนใจการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมากขึ้น ผลลัพธ์คือ เส้นไหมและผ้าไหมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงภูมิปัญญาในครัวเรือน ได้ก้าวสู่การเป็น พลังชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างรายได้ สร้างโอกาส และยกระดับคุณค่าไหมไทย ก้าวไกลสู่เวทีระดับประเทศในอนาคตเพราะผืนผ้าไหมหนึ่งผืนนั้น อาศัยทั้งเวลาและความประณีตในการทอหลายวัน แต่สิ่งที่ได้กลับมา คือคุณค่าที่ไม่อาจประเมินได้ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความภาคภูมิใจของชุมชน”

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *