Grande Experiences ผู้สร้างและผู้ผลิตเจ้าของลิขสิทธิ์ Van Gogh Alive ร่วมกับ Live Impact Events ผู้ถ่ายทอดและนำเสนอประสบการณ์ระดับโลก และ ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผนึกกำลังสร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ กับนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะดิจิทัลอิมเมอร์ซีฟระดับโลก ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “Van Gogh Alive Bangkok” (แวนโกะห์ อะไลฟ์ แบงค็อก) รวบรวมผลงานศิลปะชิ้นสำคัญของจิตรกรชาวดัตช์ Vincent Van Gogh (วินเซนต์ แวนโกะห์) ศิลปินผู้โด่งดังและทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก มาจัดแสดงให้ผู้คนที่สนใจงานศิลปะ ได้เรียนรู้และสร้างสรรค์แรงบันดาลใจ พร้อมสัมผัสและเปิดประสบการณ์การรับชมในรูปแบบ Immersive Multi-Sensory Experience ที่ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมกว่า 8.5 ล้านคนใน 80 เมืองทั่วโลก อาทิ ปักกิ่ง, เบอร์ลิน, เดนเวอร์, ลอนดอน, มาดริด, มอสโก, โรม, ซิดนีย์,แฟรงค์เฟิร์ต, นาโกย่า และกัวลาลัมเปอร์
ครั้งแรกในประเทศไทย!!! ดื่มด่ำไปกับโลกศิลปะและชีวิตของศิลปินระดับโลก Vincent Van Gogh (วินเซนต์ แวนโกะห์) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “I dream my painting, and then I paint my dream” จัดแสดงให้ชมตลอด 4 เดือนเต็ม ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม – 31 กรกฎาคม 2566 บนพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 4,120 ตารางเมตร ของ Attraction Hall ชั้น 6 ไอคอนสยาม โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 พื้นที่หลัก เพื่อให้สัมผัสความเป็นศิลปินได้อย่างเต็มอิ่ม
“Van Gogh Alive Interpretive Information” ก้าวแรกเป็นการทำความรู้จักกับ วินเซนต์ แวนโกะห์ ผ่านชิ้นงานที่ถือเป็นไฮไลต์ของเขา รวมถึงจำลองห้องนอนที่มาจากภาพ “Bedroom in Arles” ภาพห้องนอนของศิลปินในเมืองอาร์ลส์ (Arles) อันเลื่องลือ ถอดแบบที่พำนักของเขาในบ้านหลังสีเหลืองทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ที่แห่งเดียวที่เขาเรียกว่าบ้าน ซึ่งจุดกำเนิดของแรงบันดาลใจในการสร้างงานสำคัญหลายต่อหลายชิ้น ซึ่งในนิทรรศการจะถอดแบบเครื่องเรือนและการตกแต่งห้องต่างๆ ให้เหมือนกับในภาพวาดอย่างพิถีพิถัน
ก้าวต่อไปยังพื้นที่แสดงงานศิลปะ “S4 Gallery Hall” ที่นำงานเขียนอันโด่งดังระดับโลกในช่วงปี 1880 – 1890 มากกว่า 3,000 ภาพ มาฉายบนกำแพงสูง 6 เมตร โดยฉายลงบนผนัง 40 จุดและฉายลงบนพื้นอีก 20 จุด ประกอบดนตรีที่สื่อถึงความรู้สึกของศิลปิน แบ่งผลงานเป็นชุดตามพื้นที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่ เพื่อให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ในแต่ละช่วงชีวิตอย่างชัดเจน
เริ่มจากที่ ‘เนเธอร์แลนด์’ ผลงานของวินเซนต์ในช่วงเวลานี้แสดงออกถึงความมืดมน ก่อนจะแต่งแต้มความสดใสใน ‘ปารีส’ ซึ่งอยู่ในยุคอิมเพรสชันนิสม์ วินเซนต์ได้หันมาใช้โทนสีที่สดใสมากขึ้น และนับเป็นจุดกำเนิดสไตล์การวาดภาพของแวนโกะห์ที่ทุกคนคุ้นเคย ถัดมาเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขของเขาใน ‘อาร์ลส์’ (Arles) เมืองทางตอนใต้ของฝรั่งเศส แม้จะเป็นความสุขเพียงช่วงสั้นๆ ก็ตาม ผลงานในช่วงนี้เริ่มมองเห็นความเจ็บป่วยทางจิตใจของวินเซนต์อยู่บ้าง
จากนั้นเป็นช่วงเวลาแสนหดหู่ที่ ‘แซงต์-เรมี’ (Saint-Remy) ที่เขาเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล วินเซนต์ได้วาดภาพทิวทัศน์ที่ดูเงียบสงบและแสนหดหู่ แสดงให้เห็นถึงสภาพจิตที่สับสนระหว่างความวิกฤตและความสงบ ก่อนจะเข้าสู่ ‘โอแวร์ ซูว์ รวซ’ (Auvers-sur-Oise) สัมผัสความรู้สึกว่างเปล่าของเขาได้จากผลงานชิ้นสุดท้ายอันชวนหลอนของเขา แสดงออกถึงความวุ่นวายทางอารมณ์อย่างชัดเจนในวาระสุดท้ายของชีวิต
นอกจากนี้ยังมีชุดภาพเหมือนตนเองที่วินเซนต์ได้วาดไว้ตลอดชีวิตการทำงานของเขา แสดงให้เห็นถึงพลวัตของสภาวะทางอารมณ์ที่ค่อนข้างแปรปรวนของศิลปินระดับโลกคนนี้ โดยภายในโซนนี้ยังมีการผสมผสานกลิ่นอโรมาเพื่อกระตุ้นการรับรู้และเสริมอารมณ์ นำพาผู้ชมให้ดื่มด่ำไปกับ “แวนโกะห์ อะไลฟ์” โดยเลือกกลิ่นหอมของสนไซเปรส ซีดาร์วู้ด แซนดอลวู้ด และลูกจันทน์เทศ มาผสานความสดชื่นกับกลิ่นเลมอนและหญ้าแฝก ซึ่งสามารถเชื่อมผู้ชมให้ใกล้ชิดกับสวนผลไม้ สวนหย่อมและทุ่งกว้าง ที่วินเซนต์ได้รังสรรค์ไว้ในผลงานชิ้นเอกอันไร้กาลเวลา
ต่อด้วยโซนที่ 3 “Van Gogh Old Town” นำเสนอเมืองที่วินเซนต์เคยอาศัยอยู่ด้วยเทคนิคผสมผสานระหว่างของจริงและดิจิทัลอาร์ต เป็นการเปิดประสบการณ์ในรูปแบบใหม่ ใน 4 ธีมหลัก Fields, Starry Night, Countryside and Garden นำภาพเขียนจากพื้นที่เมืองอาร์ลส์อันงดงามมานำเสนอ คุณจะได้พบกับ “Wheat Field with Crows” และ “Noon, rest from work” ได้เห็นบ้าน “Yellow House” ที่เป็นเหมือนสวรรค์ของเขา ได้พบกับ “Starry Night” และ “The Night Café” อันแสนโรแมนติก ภาพ “The Red Cafe” ที่น่าประทับใจ รวมทั้ง “Dubigny’s Garden” ภาพสวนลับที่ดูลึกลับของเขาอีกด้วย
สำหรับโซนสุดท้าย จะเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ห้องสอนวาดภาพแบบแวนโกะห์ ชั้นเรียนศิลปะที่ให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้ลองลงมือสร้างงานศิลป์ และห้องจัดแสดง “Letter to Theo” จดหมายถึงน้องชายคนโปรดของวินเซนต์ รวมถึงมี AI Interactive Room ที่ช่วยรังสรรค์ภาพถ่ายของคุณให้ออกมาเหมือนจิตรกรรม พร้อมพักผ่อนในบรรยากาศอาร์ตๆ กับ “Van Gogh Café by After You” ที่นำแรงบันดาลใจจากผลงานศิลปะของวินเซนต์ แวนโกะห์ มาสร้างสรรค์เครื่องดื่มและขนมหวาน อาทิ Sunflowers จากดอกทานตะวันกลายมาเป็นเครื่องดื่มสีเหลืองสดใส Mango and passion fruit frappe และ Wheat Fields รังสรรค์เป็นเมนู Iced Horicks หรือเมนูขนมแสนอร่อยอย่าง Chocolate Trifle ที่ครีเอทมาจากภาพ The Chocolate Eaters และ Mango & Passion Fruit Trifle ที่นำภาพผลงานชิ้นดัง The Starry Night มาอินสไปร์ พร้อมปิดท้ายด้วย Van Gogh Shop โซนขายของที่ระลึกสุดเอ็กซ์คลูซีฟมีจำหน่ายสำหรับงาน “Van Gogh Alive Bangkok” เท่านั้น
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์สุดพิเศษกับนิทรรศการศิลปะดิจิทัลอิมเมอร์ซีฟระดับโลก “Van Gogh Alive Bangkok” สุดยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม – 31 กรกฎาคม 2566 ณ Attraction Hall ชั้น 6 ไอคอนสยาม เปิดจำหน่ายบัตรแล้ววันนี้ที่ Thai Ticket Major ราคาบัตร VIP 1,490 บาท, บัตรทั่วไป 990 บาท, บัตร Early Bird 690 บาท (ใช้ได้ถึง 30 เม.ย. 2566) และบัตรนักเรียน/นักศึกษา 480 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1338 หรือ Facebook : ICONSIAM