เปิดบทความ ฯพณฯ อโลนา ฟิชเชอร์-คัมม์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย “การกลับคืนสู่มาตุภูมิของสุทธิศักดิ์ รินทลักษ์และสะพานเชื่อมระหว่างประชาชนของเรา”

   การส่งคืนร่างของสุทธิศักดิ์ รินทลักษ์เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2568 พลเมืองไทยคนสุดท้ายที่ถูกกลุ่มก่อการร้ายฮามาสลักพาตัวไปในวันที่ 7 ตุลาคม 2566  ได้ปิดฉากวงจรแห่งความเจ็บปวดอันยาวนาน แต่ก็ไม่อาจปิดบาดแผลในใจได้ การกลับมาของเขาไม่เพียงเป็นช่วงเวลาแห่งความโล่งใจ หากแต่เป็นช่วงเวลาแห่งการรำลึกถึงอีกด้วย เหตุการณ์นี้บังคับให้เราต้องหันกลับมามองต้นทุนของความสูญเสียจากการสังหารหมู่ที่กลุ่มฮามาสก่อขึ้นในวันอันมืดมนนั้นอีกครั้งหนึ่ง

ชาวไทย 47  คนถูกสังหารในระหว่างการโจมตีของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และอีก 28 คนถูกลักพาตัวไปยังฉนวนกาซาและได้รับการปล่อยตัวในภายหลัง นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ จากการกระทำอันโหดร้ายที่ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่มีการยกเว้นทางสัญชาติ ศาสนา หรือความเชื่อใดๆ

เหยื่อชาวไทยทุกคนก็เป็นเช่นเดียวกับแรงงานไทยอีกหลายหมื่นคน ที่มาทำงานในอิสราเอลเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวและสร้างความมั่นคงในอนาคต ทั้งนี้รัฐบาลอิสราเอลได้แสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่ออนาคตของครอบครัวเหยื่อชาวไทยทุกครอบครัว นี่ไม่ใช่เพียงหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติเท่านั้น หากแต่เป็นพันธะอย่างลึกซึ้งทางศีลธรรม

เหตุการณ์ในวันที่ 7 ตุลาคม ไม่ใช่การต่อสู้กันในสนามรบ แต่เป็นการสังหารหมู่ กล่าวคือ ผู้ก่อการร้ายฮามาสข้ามพรมแดนเข้ามายังดินแดนอิสราเอลด้วยเจตนาอันชัดเจนว่าจะสังหารพลเรือน พวกเขาเผาบ้านเรือน สังหารครอบครัว ฆ่าผู้สูงอายุและเด็ก ข่มขืนสตรี ลักพาตัวผู้บริสุทธิ์ทั้งชายและหญิง ทั้งนี้ แรงงานชาวไทยผู้ที่มาทำงานอันสุจริตในอิสราเอลเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ตกเป็นเป้าหมายของผู้ก่อการร้ายเพียงเพราะพวกเขาอยู่ ณ ที่นั้น นี่คือโฉมหน้าอันแท้จริงของความชั่วร้าย นั่นคือแก่นแท้ของอุดมการณ์แห่งความเกลียดชัง ที่ไม่มีเป้าหมายทางการเมืองหรือเหตุผลใดๆ มีเพียงภาพของการทำลายล้างและความหวาดกลัวเท่านั้น ซึ่งเป็นความหวาดกลัวอย่างแท้จริง

สงครามที่เกิดขึ้นตามมาไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้บริบท หากแต่เริ่มต้นจากการที่ฮามาสเปิดฉากโจมตีพลเรือนของอิสราเอลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน รัฐบาลใดก็ตามที่มีความรับผิดชอบ ย่อมต้องปกป้องประชาชนของตนหลังจากการโจมตีเช่นนี้ อิสราเอลเข้าสู่สงครามด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและชอบธรรมสองประการ คือ เพื่อให้แน่ใจว่าฮามาสจะไม่สามารถเป็นภัยคุกคามทางทหารและก่อการร้ายต่ออิสราเอลได้อีกต่อไป และเพื่อนำตัวประกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชาวอิสราเอลหรือชาวต่างชาติ กลับบ้านอย่างปลอดภัย

ตัวประกันส่วนใหญ่จากทั้งหมด 258  คน ได้รับการปล่อยตัวกลับมาแล้ว เหลือเพียงตัวประกันชาวอิสราเอลอีกคนเดียว คือ รัน กวิลี ผู้ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ ตราบใดที่ยังมีผู้บริสุทธิ์ถูกกักขังอยู่ใต้ดินแม้เพียงคนเดียว ภารกิจของอิสราเอลก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เมื่อใดที่เขากลับมา เราก็หวังที่จะดำเนินการตามข้อตกลงในฉนวนกาซาระยะต่อไปได้ และนำไปสู่ความเป็นจริงที่ว่า ฮามาสจะไม่สามารถเป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอล ต่อประเทศเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ประชาชนของตนได้อีกต่อไป 

อิสราเอลไม่ได้แสวงหาสงคราม อิสราเอลแสวงหาสันติภาพ แต่ต้องเป็นสันติภาพที่แท้จริง ยั่งยืน และมั่นคง เป็นสันติภาพซึ่งช่วยให้ครอบครัวที่ต้องพลัดพรากจากกันไป ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย เป็นสันติภาพที่ไม่ปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายยังคงมีอำนาจ มีกำลังสะสมอาวุธและเตรียมการสังหารหมู่ครั้งต่อไป ประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดได้สอนชาวอิสราเอลว่า สันติภาพที่ปราศจากความมั่นคงนั้น ก็เป็นเพียงภาพลวงตา

การส่งคืนร่างของสุทธิศักดิ์เตือนใจเราว่า การก่อการร้ายไม่มีพรมแดน ทั้งยังย้ำเตือนว่าเหยื่อของเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม มิได้มีแต่เพียงชาวอิสราเอลเท่านั้น หากแต่รวมถึงแรงงานชาวไทย นักศึกษาต่างชาติ นักท่องเที่ยว และครอบครัวจากหลายประเทศ การรำลึกถึงพวกเขาเป็นพันธกิจทางศีลธรรม ไม่ใช่กิจกรรมทางการเมืองแต่อย่างใด

นับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมเป็นต้นมา จะเห็นได้ว่ามีพลเมืองไทยสนใจจะมาทำงานในอิสราเอลเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีคนไทยกว่า 40,000 คน อาศัยและทำงานอยู่ในอิสราเอล พวกเขาปรากฏให้เห็นอยู่ทุกหนแห่ง กลายมาเป็นส่วนสำคัญของสังคมอิสราเอล พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา และนี่คือวิธีที่เรายกย่องให้เกียรติพวกเขา ทั้งในยามที่มีชีวิตอยู่และยามที่จากไป

ในขณะเดียวกัน ชาวอิสราเอลกว่า 400,000 คนเดินทางมายังประเทศไทยทุกปี พวกเขาคุ้นเคยและผูกพันกับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ชาวอิสราเอลมาท่องเที่ยว มาเรียนรู้ และมาสร้างสายสัมพันธ์ส่วนตัวอันลึกซึ้งกับสังคมไทย ทั้งสองชุมชนนี้มิได้เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ หากแต่เป็นสัญลักษณ์อันมีชีวิตของความไว้วางใจ ความร่วมมือ และความเคารพซึ่งกันและกัน ชุมชนทั้งสองได้ร่วมกันสร้างสะพานแห่งความเข้าใจ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สามสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน แม้จะอยู่ห่างกันด้วยระยะการเดินทางโดยเครื่องบินกว่า 11 ชั่วโมง แต่กลับใกล้ชิดกันในหัวใจอย่างลึกซึ้ง

อิสราเอลและประเทศไทยมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน โดยมีพื้นฐานมาจากไมตรีจิตของประชาชนที่มีต่อกัน ในโอกาสที่เราร่วมใจกันรำลึกถึงเหยื่อของการก่อการร้ายชาวไทย เราขอยืนยันถึงสายใยแห่งความผูกพันนั้นอีกครั้ง เราได้ยืนหยัดเคียงข้างกันเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย และยึดมั่นในความเข้าใจร่วมกันว่า สะพานเชื่อมระหว่างประชาชนไม่ควรสร้างขึ้นจากประสบการณ์อันโศกเศร้า หากแต่ควรสร้างขึ้นจากความรัก ความเคารพซึ่งกันและกัน รวมถึงผลประโยชน์และค่านิยมที่มีร่วมกัน

Op-Ed by Her Excellency Alona Fischer-Kamm, Ambassador of Israel to Thailand: The Return of Sudthisak Rinthalak and the Bridge Connecting Our Peoples.

The return on December 10th of the remains of Sudthisak Rinthalak, the last Thai national abducted by Hamas on October 7, 2023, closes a painful circle; but it does not close the wound. His return is not only a moment of relief but a moment of remembrance. It forces us to confront, once again, the human cost of the massacre carried out by Hamas on that dark day.

Forty-seven Thai nationals were murdered during the October 7th attack and in its immediate aftermath. Twenty-eight were abducted into Gaza and later released. Others were injured, physically and emotionally, in an act of brutality that spared no distinction of nationality, religion, or belief. 

All the Thai victims, like tens of thousands of other Thai workers, came to Israel to support their families and secure their future. The Government of Israel has assumed full responsibility for the future of all Thai victims’ families. This is not only a practical duty; it is a deeply moral one.

October 7th was not a battlefield clash. It was a massacre. Hamas terrorists crossed into Israel with the explicit intention of murdering civilians. They burned homes, slaughtered families, murdered elderly people and children, raped women, and abducted innocent men and women. Thai agricultural workers, people who had come to Israel to work honestly and support their families, were targeted simply because they were there. This is the real face of Evil, the essence of ideology of hate that has no political goal or logical sense. Just a vision of destruction and terror. Pure terror.

The war that followed did not begin in a vacuum. It began because Hamas launched an unprecedented attack on Israel’s civilian population. Any responsible government would have acted to defend its citizens after such an assault. Israel entered this war with two clear and legitimate objectives: to ensure that Hamas no longer poses a military and terrorist threat to Israel, and to bring home all hostages, Israeli and foreign nationals alike.

Most of the 258 hostages have returned. One Israeli hostage, Ran Gvili, still remains in captivity. As long as even one innocent person is held underground, Israel’s mission is not complete. We hope that his return will allow the implementation of the next phase of the Gaza arrangements and create a reality in which Hamas is no longer able to endanger Israel, its neighbors, or its own population.

Israel does not seek war. Israel seeks peace, but peace that is real, durable, and secure. Peace that allows families displaced from their homes to return safely. Peace that does not leave terrorists in control, rearming and preparing the next massacre. History has taught Israelis, painfully, that peace without security is an illusion.

The return of Sudthisak’s remains reminds us that terrorism knows no borders. It reminds us that the victims of October 7th were not only Israelis. They were Thai workers, foreign students, tourists and families from many nations. Remembering them is not a political act, it is a moral one.

Since October 7th we have seen a growing interest of Thai nationals to work in Israel. Today, over 40,000 Thai nationals live and work in Israel. They can be seen everywhere. They have become an integral part of our society, part of our landscape, part of us. And this is how we honor them, both in life and in death.

At the same time, over 400,000 Israelis travel to Thailand every year, Israelis have long felt at home in Thailand, traveling, studying, and building deep personal connections with Thai society. These two communities are not marginal; they are living symbols of trust, cooperation and mutual respect. Together, these two communities form a strong bridge of understanding and solidarity between our cultures, separated by an 11-hour flight, yet deeply close at heart.

Israel and Thailand share a long friendship built on people-to-people ties. In honoring the memory of Thai victims, we reaffirm that bond. We stand together against terror and with a shared understanding that bridges between peoples should not be built uniquely on tragic experience but through love, mutual respect and shared interests and values.

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *