วันพุธที่ 21 กันยายน 2565 เวลา 13.30 น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีถวายทุนการศึกษาแด่พระภิกษุสามเณรตามโครงการสนับสนุนศาสนทายาทสืบสานและเผยแผ่พระพุทธศาสนา ภายใต้กองทุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ณ วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
นายอิทธิพล คุณปลื้ม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา น้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา และทรงสนพระทัยศึกษาธรรมะโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระไตรปิฎก อันเป็นหลักฐานการบันทึกองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้และการเทศนาสั่งสอนของพระพุทธองค์ ทรงมีพระราชปุจฉาเผดียงถามสมเด็จพระสังฆราชและพระเถรานุเถระ ว่า “จะส่งเสริมการเรียนการสอนพระบาลีอย่างไรให้เข้าถึงพระไตรปิฎก” เพื่อเป็นการจรรโลงบวรพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่อย่างมั่นคง เพื่อเป็นการรับสนองพระราชปุจฉาดังกล่าว อีกทั้งพระภิกษุ สามเณร ถือเป็นบุคลากรที่มีส่วนสำคัญต่อการสืบทอดพระพุทธศาสนาและเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า รวมทั้งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนได้ศึกษาเรียนรู้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาพร้อมนำไปปฏิบัติตามศีลธรรมอันดีงามสืบไป กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ในฐานะผู้กำกับดูแลกองทุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จึงได้สนับสนุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยส่งเสริมการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร ให้มีโอกาสศึกษาพุทธธรรมในระดับที่สูงขึ้น ภายใต้โครงการสนับสนุนศาสนทายาทสืบสานและเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อสร้างศาสนทายาทในการทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาที่มีคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 จนถึงปัจจุบัน
นายอิทธิพล กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2565 กรมการศาสนา ได้ร่วมกับวัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ จัดถวาย “ทุนการศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร” ที่กำลังศึกษาในสำนักเรียนพระปริยัติธรรม แผนกบาลี ระดับเปรียญธรรม 3 ประโยค – เปรียญธรรม 8 ประโยค ในส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) จำนวน 220 ทุนๆ ละ 5,000 บาท เพื่อสนับสนุนการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร ให้เป็นผู้มีความรอบรู้และแตกฉานในพระธรรมวินัย ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จนสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาได้ด้วยตนเอง สามารถนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องและนำหลักธรรมคำสอนทางศาสนาไปอบรมสั่งสอนแก่พุทธศาสนิกชนได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน จะช่วยให้พุทธศาสนิกชนมีความเลื่อมใสศรัทธาและนำหลักธรรมคำสอนทางศาสนาไปเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งในการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่สถาบันศาสนาให้ดำรงอยู่คู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน