ผอ.สกสว. แจงความคืบหน้าการวิจัยกับการปฏิรูปประเทศ เน้นย้ำ ‘จัดสรรงบวิจัยอย่างสมดุล’ หนุนเศรษฐกิจ-สังคม-พัฒนาคน

เมื่อเร็วๆนี้ รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เข้าร่วมการประชุมวุฒิสภาเกี่ยวกับการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัด การปฏิรูปประเทศและการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติแต่ละด้าน ในการประชุมวุฒิสภาสมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2 ณ อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) ที่จัดขึ้นเพื่อให้กรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภาได้สอบถามความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ แต่ละด้านจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง  
 
สำหรับการประชุมครั้งนี้ สกสว. ได้ร่วมชี้แจงข้อมูลการทำงานของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในประเด็น “การปฏิรูปบทบาทการวิจัยและระบบธรรมาภิบาลของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืน”  เพื่อตอบข้อคำถามสำคัญ 2 ข้อ คือ 1. ปัจจุบันกระทรวง อว. มีแนวทางหรือนโยบายในการสร้างความสมดุลระหว่างการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และการวิจัยที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อย่างไรบ้าง และ 2. กระทรวง อว.มีนโยบายในการสนับสนุนให้การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเป็นไปเพื่อการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างไรบ้าง

โอกาสนี้ รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล กล่าวให้ข้อมูลต่อที่ประชุมวุฒิสภาครั้งนี้ว่า  ปัจจุบันถือเป็นระยะเวลา 2 ปีครึ่งแล้ว ที่ประเทศไทยมีการปรับโครงสร้าง ปฏิรูประบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ  รวมถึงเกิดกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุนส่งเสริม ววน.)  ส่วนหนึ่งของการทำงานคือเชื่อมโยงการทำงานด้านการอุดมศึกษาและการวิจัยให้สอดคล้องกัน สำหรับประเด็นเรื่องความสมดุลในการสนับสนุนงบประมาณวิจัยระหว่างด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิต  และความสมดุลในการสนับสนุนงบประมาณวิจัยวิทยาศาสตร์และไม่ใช่วิทยาศาสตร์นั้น ขอให้ข้อมูลว่า ในการสนับสนุนการวิจัย เรามองชัดว่า “การวิจัยเป็นเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้นโจทย์วิจัยต้องมาหลังโจทย์การพัฒนาประเทศ” กระบวนการทำงานนั้นเริ่มจากการศึกษาแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทประเทศ โดยส่วนในของด้านการวิจัยจะอยู่ในแผนแม่บทฉบับที่ 23 ซึ่งจะต้องตอบโจทย์แผนแม่บทอีก 22 ฉบับ ดังนั้น สกสว. จึงจัดทำแผนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (แผน ววน.) ระยะปานกลาง  (ระยะ 3-5 ปี) ขึ้นมาก่อน โดยยึดโยงกับตัวชี้วัดของแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
 
แผน ววน. ฉบับแรก เกิดขึ้นหลังมีการปฏิรูป เป็นแผนฉบับ ปี พ.ศ. 2563 – 2565 และปัจจุบัน สกสว.กำลังจัดทำแผน ววน.ฉบับที่ 2 (ระยะ 5 ปี) ปี พ.ศ. 2566 – 2570 ซึ่งจัดทำให้สอดคล้องกับหมุดหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13  แผนปฏิรูปประเทศ ทิศทาง Megatrend ของโลก นอกจากนี้ยังมีการศึกษาความต้องการรายสาขากับภาคส่วนต่างๆ รวมถึงศึกษาความต้องการเชิงพื้นที่ทั้ง 6 ภูมิภาคภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
 
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแผน ววน. ใช้ข้อมูลจากหลายภาคส่วน ซึ่งปัจจุบันแผน ววน.ฉบับนี้ได้จัดทำเรียบร้อยแล้ว ผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์แล้ว อยู่ในขั้นตอนนำเสนอ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการประกาศใช้ต่อไป จากการจัดทำแผนในรูปแบบและขั้นตอนนี้ จึงจะมีการจัดสรรงบประมาณ ผ่านกองทุนส่งเสริม ววน. “เพราะฉะนั้นการจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยต่อจากนี้ไป ไม่ใช่การจัดสรรให้กับโครงการอะไรก็ได้ แต่ต้องมีกรอบ มีทิศทางที่ชัดเจน โดยมีตัวชี้วัดว่าจะต้องส่งมอบงานรายปีและราย 3 ปีเป็นอย่างไร” นอกจากนี้ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 สกสว. ได้จัดทำแผนวิจัยและสนับสนุบงบประมาณด้านการวิจัยที่เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ตามแนวนโยบายของคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) หรือบอร์ดบริหาร สกสว.

ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณวิจัยของประเทศ จึงไม่ได้พิจารณาจากเพียงว่าเป็นสาขาวิทยาศาสตร์ หรือไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่ดูที่ผลลัพท์ของงานเป็นตัวตั้ง อย่างเช่น การมุ่งเน้นผลลัพธ์ทางด้านเศรษฐกิจ จากการวิเคราะห์ข้อมูล จึงสนับสนุนทางด้านการแพทย์เป็นเรื่องหลัก รองลงมาคือเรื่องเกษตร พลังงาน เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยว  ระบบราง เอไอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศต้องการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ  ผลลัพธ์ที่ 2 คือการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและการพัฒนาเชิงพื้นที่รวมทั้งแก้ปัญหาประเทศ ผลลัพธ์ที่ 3 คือเรื่องการพัฒนาภาพอนาคตและกำลังคน โดยให้น้ำหนักการลงทุนทั้ง 3 ด้าน ในสัดส่วนใกล้เคียงกันคือ ร้อยละ 35 33 และ 32 ตามลำดับ   จากสัดส่วนดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาสมดุลด้านการจัดสรรงบประมาณ โดยโครงการการวิจัยที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ จะอยู่ในผลลัพธ์ด้านที่ 2 การพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม อาทิ  แผนงานแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างนวัตกรรมชุมชน การสนับสนุนการพัฒนาเมืองที่เชื่อมโยงสู่ชนบท เป็นต้น
 
นอกจากนี้ขอให้ข้อมูลในประเด็นชั้นการทำงานคือ ปัจจุบัน กองทุนส่งเสริม ววน.  ไม่ได้สนับสนุนงบประมาณให้กับนักวิจัยโดยตรงแต่จัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานในระบบวิจัย อย่างหน่วยบริหารจัดการทุน และหน่วยรับประมาณอื่นอีก 170 หน่วยงาน โดยเป็นมหาวิทยาลัย 90 หน่วยงาน 80 หน่วยงานในกระทรวงระดับกรม โดยมีหน่วยงานระดับกรมที่ทำงานด้านสังคมอยู่จำนวนไม่น้อย ทั้งสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพราะฉะนั้นภาพรวมของงานก็จะมีงานด้านพัฒนาสังคมไม่น้อยกว่าด้านวิทยาศาสตร์ เชื่อมั่นว่า สกสว. ให้ความสมดุลและให้ความสำคัญกับการพัฒนาในทุกมิติ โดยมีจุดมุ่งเน้นคือการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศได้จริง โดยทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายการพัฒนาต่างๆ
 
ท้ายที่สุดในมิติของธรรมาภิบาล สกสว. ขับเคลื่อนการทำงานโดยมีคณะกรรมการ 3 คณะ ประกอบด้วย   1. คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) 2. คณะกรรมการอำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ 3. คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทำหน้าที่ในการกำกับการทำงาน ตลอดจนปัจจุบันกำลังดำเนินการจัดทำระบบข้อมูลที่เปิดเผยข้อมูลจากโครงการวิจัย นักวิจัย จนถึงงบประมาณ  เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลและกระบวนการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้

และในช่วงหลังการชี้แจงข้อมูล นายเฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ กรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา ได้ให้ข้อเสนอแนะ เพื่อให้ทาง สกสว. จัดเตรียมจัดข้อมูลสำหรับการนำเสนอความก้าวหน้าเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของ 1. จำนวนโครงการวิจัย งบประมาณ รวมถึง ผลผลิต (Outcome) ผลกระทบ (Impact)  ของโครงการวิจัยที่มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อมุ่งตอบเป้าหมายทั้ง 3 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ผลลัพธ์ทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและการพัฒนาเชิงพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาภาพอนาคตและกำลังคน ตามที่ได้นำเสนอข้อมูล 2. เอกสารหลักเกณฑ์การแต่งตั้งคณะกรรมการ คณะทำงานรวมทั้งในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิโครงการวิจัยต่างๆ ที่สอดคล้องตามธรรมาภิบาล ทั้งนี้ ทาง สกสว. ได้รับทราบข้อเสนอแนะดังกล่าว และจะจัดเตรียมข้อมูลที่ครบถ้วน มารายงานต่อที่ประชุมวุฒิสภาสมัยสามัญประจำปีในครั้งต่อไป

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published.