พม. จัดงานใหญ่ SDx 2025 ดึงเครือข่ายระดับประเทศ-นานาชาติ ช่วยกลุ่มเปราะบาง-ประชาชน เตรียมรับมือพร้อมหาทางออก เมื่อโลกเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ

 วันที่ 17 กันยายน 2568 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดพิธีเปิดงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 กันยายน 2568 โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ซึ่งมี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ องค์กรระหว่างประเทศ ภาคีเครือข่าย ประชาชนทั่วไป และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้อง Ballroom Hall 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร

 ทั้งนี้งาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises เป็นเวทีระดับชาติและนานาชาติในการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือและการจัดการต่อประเด็นท้าทาย “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อีกทั้งเพื่อการสื่อสารนโยบายสำคัญของกระทรวง พม.ในการคุ้มครองสวัสดิภาพกลุ่มเปราะบางจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยภายในงาน มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับผู้รู้และผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศและนานาชาติจากหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) อาทิ UNDP, UNESCAP, UNFPA, UNICEF, World Bank, APCD และ ASEC รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งในรูปแบบของการเสวนา การอภิปราย และการหารือ World Cafe เพื่อเปิดเวทีร่วมกันหาทางออกจากวิกฤตซ้อนวิกฤต รวมทั้งการตัดแสดงนิทรรศการสาระน่ารู้ต่างๆ กิจกรรม Workshop ทำของที่ระลึก และ Market place เปิดพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าของกลุ่มเปราะบางและภาคีเครือข่ายของกระทรวง พม. เป็นการให้โอกาสในการดำรงชีวิตในสังคมอย่างเท่าเทียมและมีคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นายอนุกูล ปีดแก้ว
ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) 

นายอนุกูล กล่าวว่า ทิศทางการพัฒนาของโลกในศตวรษที่ 21 ได้ให้ความสำคัญกับหลักการ “ความเสมอภาค และความยั่งยืน” เป็นกระแสหลัก แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ยังคงเกิด “ความเหลื่อมล้ำ” ในหลายมิติเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ  เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่มผู้อพยพย้ายถิ่น รวมทั้งต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาค หลายประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตทั้งโครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ รวมถึงวิกฤตเศรษฐกิจ  สำหรับวิกฤตโครงสร้างประชากร นั้น มี 3 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ 1) “เด็กเกิดน้อย” ปี 2567 มีเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 5 แสนคน เป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี หรือมีเด็กเกิดใหม่เพียง 4.6 แสนคน 2) “วัยแรงงานลดลง” ปี 2567 วัยทำงาน 3 คน ต้องทำงานดูแลผู้สูงอายุ 1 คน และ 3) “สังคมสูงวัย” ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2567 โดยประเทศไทยมีประชากรสูงอายุมากเป็นอันดับที่ 17 ของโลก หรือมากกว่าร้อยละ 20.69 ของประชากรไทย  

 ทั้งนี้วิกฤตโครงสร้างประชากร ได้ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายด้าน อาทิ ภาระทางการคลังเพิ่มมากขึ้น ศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดต่ำลง  ภาครัฐแบกรับภาระผู้สูงวัยมากขึ้น โรงเรียนปิดตัวจำนวนมาก เด็กหลุดจากระบบการศึกษากว่า 1.02 ล้านคน ครอบครัวแหว่งกลาง ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพัง คนรุ่นใหม่ไม่นิยมมีบุตร การค้ามนุษย์และอาชญากรรมทางออนไลน์

 สำหรับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงอันดับที่ 30 ของโลก ในกลุ่มประเทศที่มีความเปราะบางที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ โดยประเทศไทยต้องเผชิญกับ 4 ภัยหลัก ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง ภัยความร้อน และการกัดเชาะชายฝั่ง ซึ่งขณะนี้ เราต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาทิ สถานการณ์อุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นพื้นที่ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม) ตั้งแต่ปลายปี 2567 ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้มาก่อน ทั้งนี้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ได้ส่งผลกระทบรุนแรงในหลายด้าน อาทิ คลื่นความร้อนสูงส่งผลต่อสุขภาพผู้สูงอายุและคนพิการที่เสี่ยงต่อโรคฮีทสโตรก การย้ายถิ่นฐานเพื่อหนีภัยพิบัติและหางานทำในเขตเมือง เด็กและผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งในชุมชน ผลผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์ตกต่ำ และความไม่มั่นคงทางอาหารของกลุ่มเปราะบาง 

 นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับทางออกของวิกฤตโครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ กระทรวง พม. ได้ปรับตัวและรับมือกับวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เกิดขึ้น โดยได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ (1) การจัดสวัสดิการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับคนทุกช่วงวัย อาทิ การขยายศูนย์เด็กเล็กใกล้บ้านอย่างมีมาตรฐาน , การพัฒนาข้อเสนอขยายอายุเกษียณ , กฎหมายส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุและคนพิการ , การพัฒนานักบริบาลและคุ้มครองสิทธิ

ผู้สูงอายุ , การพัฒนาผู้นำคนพิการที่สร้างแรงบันดาลใจ (TOP10) , ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) และนิคม NEXT โมเดล และ (2) การดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ โดยมีการจัดตั้งศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) , การจัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP) โดยกระทรวง พม. เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ , การจัดทำแผนบริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ พ.ศ. 2568 ของกระทรวง พม. ทั้งก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังเกิดภัย , การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการคุ้มครองทางสังคมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย , โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของประชากรกลุ่มเปราะบางและชุมชน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับธนาคารโลก (World bank) , การปรับปรุงหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ร่วมกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่กลุ่มเปราะบาง , การพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับราคาที่รับภาระได้ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และการจัดถุงยังชีพ GO BAG สำหรับกลุ่มเปราะบางได้มีสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในช่วงเกิดภัย

 นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับอนาคต ในส่วนของประเทศไทย นั้น เราได้ขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขข้อท้าทายที่เกิดจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากนวัตกรรมที่หลายหน่วยงานนำมาจัดแสดงในงานครั้งนี้ อาทิ สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ , การออกแบบที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับคนทุกช่วงวัย ,  การนำเทคโนโลยีและหุ่นยนต์มาใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ , การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า (เกษตรสร้างสรรค์) และการพัฒนาต้นแบบการจัดการเชิงพื้นที่ของคนทุกช่วงวัย (โครงการนิคม NEXT)

 “วิกฤตซ้อนวิกฤต: โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ นับเป็นปัญหาของโลก ที่ประชากรทุกคนได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจแตกต่างกันไป แต่เชื่อว่าทุกประเทศมีประสบการณ์ที่สามารถนำมาแบ่งปัน นำไปปรับใช้ และงานในวันนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้ทำนโยบายเชิงรุกในการพร้อมรับมือและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และงานวันนี้ จึงเป็นวาระสำคัญในการมารวมตัวกันของทุกภาคส่วนทั้งภาคราชการ เอกชน และประชาสังคม รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ และสื่อมวลชน อีกทั้งเสียงสะท้อนจากเด็กและเยาวชนในอาเซียน ที่จะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต ซึ่งได้มาร่วมกันสร้างเจตนารมย์ ร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์สำคัญ เพื่อนำไปปรับเป็นนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศต่อไป” นายอนุกูลกล่าว

ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ระหว่างวันที่ 17 – 18 กันยายน 2568 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เพราะวันนี้ “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป เราทุกคนต้องร่วมกันจัดการและหาทางออก เพราะไม่ใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง 

#ข่าวพม #พม #ศรส #esshelpme #5×5ฝ่าวิกฤตประชากร #พมหนึ่งเดียว #ศบปภ #พันธกิจสำคัญ9ด้าน #SDx2025 #SocialDevelopmentExpo2025

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *