เอสซีจี โฮม เอ็กซพีเรียนซ์ เปิดฉากสู้ศึกปีมังกร ส่งกลยุทธ์หลัก ‘ขับเคลื่อนบริการเรื่องบ้าน เพื่อการอยู่อาศัยที่ดีขึ้น’ รองรับดีมานด์ขยายตัว จ่อทุ่มเม็ดเงิน 20 ล้านบาท ปรับโฉมและจัดแคมเปญทางการตลาดกระตุ้นกำลังซื้อ หลังประสบความสำเร็จในปี 66 กำไรจากการดำเนินงานโต 190% ตั้งเป้ายอดขายปีนี้เติบโตกว่า 30% รุกตลาดกลุ่มสินค้าและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยของผู้สูงวัย ตอบโจทย์เทรนด์ Aging Society ยกระดับสู่ Care Living Destination ผสานการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกอย่างยั่งยืนด้วย ESG Model
คุณธัญญ์กวิน บุดดีมี
กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ จำกัด
ธัญญ์กวิน บุดดีมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ความสำเร็จของ SCG HOME Experience ในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามแผนงาน ส่งผลให้อัตราการเติบโตของรายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 5% และมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นถึง 190% ซึ่งในปี 2567 บริษัทได้วางกลยุทธ์ ‘ขับเคลื่อนบริการเรื่องบ้าน เพื่อให้การอยู่อาศัยของคนไทยยิ่งดีขึ้น’ ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นเพื่อนคู่คิดในการทำบ้าน ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ออกแบบบ้าน สินค้า และบริการพร้อมติดตั้ง มุ่งเน้นส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีที่สุดสำหรับทุกภารกิจเรื่องบ้าน ในฐานะร้านต้นแบบค้าปลีกของเอสซีจี โดยเตรียมงบลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมทางการตลาดและการปรับปรุงพื้นที่นำเสนอสินค้าและนวัตกรรม ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้ง 5 กลุ่ม ได้แก่ Young Owner, Family Giver, Active Aging, Technology and Innovation และ Home Expert โดยปีนี้บริษัทเน้นกลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นตามเทรนด์ Aging Society
“ปัจจุบันผู้คนเตรียมความพร้อมในการดูแลที่อยู่อาศัยของตัวเองมากขึ้นเพื่อรองรับช่วงวัยเกษียณ ขณะที่แนวโน้มของกลุ่มผู้สูงอายุในไทยเพิ่มขึ้นในทุกปี ผู้สูงอายุไม่ใช่คนแก่อีกต่อไป อายุที่แตกต่างกันความต้องการต่างกัน พฤติกรรมต่างกัน รวมถึงทัศนคติก็ต่างกัน SCG HOME Experience จึงแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มสีเขียว ยังแอฟทีฟอยู่ ร่างกายยังไหว ดูแลสุขภาพ และชอบหากิจกรรมนอกบ้านกับเพื่อน กลุ่มสีเหลือง เริ่มต้องมีคนดูแล ไปไหนไม่ค่อยสะดวกจึงมักมีพฤติกรรมติดบ้าน กลุ่มสีแดง เริ่มมีปัญหาสุขภาพ ต้องนอนติดเตียง เคลื่อนไหวค่อนข้างลำบาก ซึ่งเรามองเห็นโอกาสในการพัฒนาบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย ‘Care Living Solution’ ตั้งแต่การให้บริการคำปรึกษาเพื่อปรับปรุงพื้นที่เดิมให้อยู่อย่างปลอดภัย ถูกสุขลักษณะ ทำให้บ้านควรเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับคนในครอบครัว ซึ่งในอดีตอาจเป็นเพียงบ้านเฉพาะบ้านผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันคนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพด้าน well-being เริ่มมีมากขึ้น และตลาดนี้กำลังเติบโตอย่างมหาศาล เราจึงเลือกทำตลาดกลุ่มนี้มากขึ้น และพยายามสร้างที่นี่ให้ลูกค้าจดจำความเป็น Care Living Destination ที่ทุกคนต้องนึกถึงเรา” คุณธัญญ์กวิน กล่าว
ขณะที่เป้าหมายการเติบโตในปีนี้ บริษัทคาดการณ์อัตราการเติบโตของยอดขายอยู่ที่ประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยมาจากแผนเพิ่มความหลากหลายของพอร์ตสินค้าเกี่ยวกับบ้าน การขยายพื้นที่ให้บริการของเอสซีจีและคู่ธุรกิจ ในกลุ่มโซลูชันเป็นหลัก ได้แก่ หลังคา งานปรับปรุงภายนอก กลุ่มวัสดุประตู หน้าต่าง ส่วนกลุ่มโซลูชันที่บริษัทคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นและสร้างความแตกต่างจะอยู่ในกลุ่ม Care Living Solution และ Smart Living Solution ที่สอดรับกับแนวโน้มในปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทฯ มุ่งเน้นยกระดับการให้บริการที่เหนือระดับแบบ Best-In-Class Experience ผ่าน 3 หลักการบริหาร EPS ได้แก่ พนักงาน (Employees) ซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจให้ความสำคัญการดูแลเรื่องสวัสดิการ การเติบโตของอาชีพให้มั่นคง สร้างพันธมิตรโอกาสเติบโต (Partnership) เพราะธุรกิจไม่สามารถเติบโตไปตลอดได้เพียงคนเดียว บริษัทได้วางกลยุทธ์จับมือกับพาร์ทเนอร์ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มพัฒนาอสังหาฯที่อยู่อาศัย และพันธมิตรที่ชำนาญด้านการให้ความรู้เรื่องบ้านและเทรนด์การอยู่อาศัย เพื่อเสริมทัพเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แข็งแกร่งขึ้น และบริการที่เป็นเลิศ (Service Excellence) เน้นบริการด้วยความรู้ที่ถูกต้อง ส่งมอบบริการด้วยความจริงใจ โดยลงทุนสร้างแผนพัฒนาการทักษะความรู้ของพนักงานเพื่อเป็น Home Expert Partner ที่ดี พร้อมสร้างความมั่นใจในการใช้บริการยกระดับมาตรฐานบริการติดตั้งร่วมกับพันธมิตร ตั้งเป้าเพื่อลดมูลค่าการเคลมและข้อร้องเรียนจากลูกค้า
“กลยุทธ์สำคัญที่สร้างความแตกต่างและขับเคลื่อนแผนให้ได้ตามเป้าหมาย คือการสร้างให้สัมผัสประสบการณ์จริงแบบ Real Touch Point นี่จะเป็นข้อได้เปรียบนึงของการทำร้านค้าปลีก เพราะเรื่องบ้านเป็นสิ่งที่สะท้อนความสุขของคนอยู่อาศัยซึ่งทุกคนจะสร้างหรือปรับปรุงบ้านไม่บ่อยในหนึ่งช่วงชีวิต ดังนั้นปีนี้บริษัทจึงได้ทุ่มเงินลงทุนเพื่อจำลองแบบการอยู่อาศัยใหม่ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยทั้งปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นภาพประกอบการตัดสินใจ” คุณธัญญ์กวิน กล่าว
สำหรับการปรับปรุงพื้นที่จะเริ่มดำเนินการในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ แบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ โซน Care Living Solution เน้นการจำลองการอยู่อาศัยตามหลัก Universal Design สะท้อนถึงพฤติกรรมของกลุ่มผู้สูงวัยในแต่ละช่วงพร้อมจำลองสินค้า และการออกแบบตามสรีระศาสตร์เพื่อสุขภาวะที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมจับมือกับพันธมิตรอย่าง BAEUN by SCG เพื่อรองรับการรีโนเวทบ้านทั้งหลัง Doodeco บริการตกแต่งภายใน Chivit-D by SCG มานำเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องในการใช้ชีวิตของลูกค้ามากขึ้น โซน Smart Living Solution นำเสนอบริการแบบครบวงจรตั้งแต่การออกแบบวางระบบ พร้อมบริการติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ ภายในโซนจะมีการจัดแพคเกจให้ลูกค้าทราบงบประมาณเบื้องต้น เพิ่มฟังก์ชันในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ได้เอง โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่มสมาร์ท เช่น Smart Energy ระบบที่ช่วยให้บ้านประหยัดพลังงาน เช่น SCG Solar Roof Solutions บ้านที่ต้องการระบบ EV Charger เนื่องจากเทรนด์ที่คนมาใช้รถ EV เพิ่มมากขึ้น , Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยที่ทุกบ้านจำเป็นต้องมี, Smart Lighting ระบบไฟอัตโนมัติควบคุมการใช้งานตามความต้องการ และ Smart Care ระบบเพิ่มเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยสำหรับบ้านที่ต้องการดูแลผู้สูงอายุ ในกลุ่มนี้ยังขยายไปยังกลุ่ม Smart Health เพื่อในการอยู่อาศัยปลอดภัยมากยิ่งขึ้นและโซน Acoustic Solution & Home Décor กับห้องตัวอย่างที่โชว์การติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ช่วยลดเสียงสะท้อน เสียงก้องและนำเทคโนโลยี Smart Gadget เข้ามาประกอบการใช้งานให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์จริง
คุณธัญญ์กวิน กล่าวว่า “บริษัทฯในฐานะค้าปลีกต้นแบบของ SCG ยังให้ความสำคัญต่อการสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยยึดหลัก ESG Model ที่ผ่านมาบริษัทลงทุนเพื่อช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน ด้วยการติดตั้งหลังคาโซลาร์รูฟ ขนาด 400 kWh. สามารถลดค่าไฟฟ้าภายในร้านได้ราว 29% ต่อปี เสมือนช่วยลดการปล่อยก๊าซก๊าซคาร์บอนได้ถึง 134 ตันต่อปี ติดตั้งสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำทั้งอาคาร ขณะเดียวกันได้ดำเนินการเรื่อง Waste Management ผ่านการตั้งจุดคัดแยกขยะ พร้อมทั้งจัดกิจกรรม Upcycling Think เพื่อโลกเพื่อส่งผ่านแนวความคิดรักษ์โลกในการแปลงวัสดุเหลือใช้มาเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ไม่เกิดขยะล้นโลก ส่งต่อไปยังกลุ่มผู้บริโภคโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และบริษัทให้ความสำคัญแก่การลดความเหลื่อมล้ำด้วยการส่งมอบงานบริการเรื่องการติดตั้งงานในบ้านให้แก่ช่างหรือพาร์ทเนอร์ในเครือข่ายของบริษัท สร้างโอกาสและความเป็นธรรม สนับสนุนการเติบโตอย่างทั่วถึง ซึ่งทั้งหมดนี้บริษัทยังคงเดินหน้าและมุ่งมั่นในการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567 และเร็วๆนี้จะได้เห็น ESG Iconic collab with K.Wishulada ศิลปินผู้สร้างประติมากรรมจากขยะ ด้วยการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ภายใต้คอนเซ็ปต์ Secret in the Backyard ที่ถ่ายทอดความสุข แก่ลูกค้าทุกคนที่มีแนวคิดรักษ์โลกร่วมกัน”